หมอประจำบ้าน: การชักในทารกแรกเกิด (Neonatal Seizures) การชักในทารกแรกเกิด (Neonatal Seizures) คือภาวะที่ทารกอายุไม่เกิน 28 วัน (หรืออายุครรภ์ไม่เกิน 44 สัปดาห์สำหรับทารกคลอดก่อนกำหนด) มีการเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมไฟฟ้าในสมองอย่างผิดปกติและฉับพลัน ทำให้เกิดอาการทางกายภาพหรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้ ภาวะนี้เป็นอาการทางระบบประสาทที่พบบ่อยที่สุดในทารกแรกเกิด และเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงปัญหาทางสุขภาพที่อาจรุนแรงได้
อาการชักในทารกแรกเกิด
อาการชักในทารกแรกเกิดอาจแตกต่างจากอาการชักในเด็กโตหรือผู้ใหญ่มาก เนื่องจากสมองของทารกยังพัฒนาไม่เต็มที่ อาการอาจไม่ชัดเจน หรือเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยที่บางครั้งอาจแยกแยะได้ยากจากพฤติกรรมปกติของทารก
อาการที่อาจบ่งชี้ถึงภาวะชัก ได้แก่:
อาการชักที่ไม่ชัดเจน (Subtle Seizures): เป็นรูปแบบที่พบบ่อยที่สุดและสังเกตยากที่สุด
การเคลื่อนไหวของตา: ตาเหลือกขึ้น ค้างอยู่ด้านใดด้านหนึ่ง ตากระตุก หรือกะพริบตาถี่ๆ
การเคลื่อนไหวของปาก: ดูดปาก ทำปากจู๋ เคี้ยว หรือแลบลิ้น
การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติอื่นๆ: เช่น การถีบจักรยาน การพายมือ การว่ายน้ำ (pedaling or swimming movements), การเกร็งหรือกระตุกบางส่วนของร่างกาย เช่น นิ้วมือ แขน ขา
การหยุดหายใจ (Apnea): หยุดหายใจนานผิดปกติ หรือหายใจผิดจังหวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่มีสาเหตุอื่น
การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม: ซึมลง เฉื่อยชา ไม่ตอบสนอง หรือมีการตื่นตัวมากผิดปกติโดยไม่มีสาเหตุ
อาการชักแบบเกร็งกระตุก (Clonic Seizures):
มีการกระตุกซ้ำๆ เป็นจังหวะ อาจเกิดที่ใบหน้า แขน ขา หรือลำตัว อาจเป็นข้างเดียว (focal) หรือหลายส่วน (multifocal)
อาการชักแบบเกร็ง (Tonic Seizures):
มีการเกร็งค้างของกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น แขนขาแข็งเกร็ง หรือคอเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง อาจเป็นข้างเดียว หรือทั่วร่างกาย
อาการชักแบบกระตุกสั้นๆ (Myoclonic Seizures):
มีการกระตุกอย่างรวดเร็วและสั้นๆ เพียงครั้งเดียว หรือเป็นชุดๆ อาจเกิดที่นิ้วมือ แขนขา หรือทั่วร่างกาย
ข้อควรระวัง: การเคลื่อนไหวบางอย่างของทารกแรกเกิด เช่น Moro reflex (สะดุ้งเฮือก), อาการสะอึก, หรือการเคลื่อนไหวขณะหลับ อาจดูคล้ายการชักได้ การแยกแยะความแตกต่างที่สำคัญคือ การเคลื่อนไหวจากการชักมักจะเป็นแบบซ้ำๆ เป็นจังหวะ และไม่สามารถหยุดได้ด้วยการจับรั้งแขนขาเอาไว้
สาเหตุ
สาเหตุของการชักในทารกแรกเกิดมีได้หลากหลายและมักบ่งบอกถึงปัญหาพื้นฐานที่รุนแรงในสมอง สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่:
ภาวะสมองขาดออกซิเจนและเลือด (Hypoxic-Ischemic Encephalopathy - HIE): เกิดจากการขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมองก่อน ระหว่าง หรือหลังคลอด ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด
เลือดออกในสมอง (Intracranial Hemorrhage): เช่น เลือดออกในโพรงสมอง (intraventricular hemorrhage) พบบ่อยในทารกคลอดก่อนกำหนด หรือเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง (subdural hemorrhage)
การติดเชื้อในระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System Infection): เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) หรือสมองอักเสบ (Encephalitis) จากเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส
ความผิดปกติทางเมตาบอลิซึม (Metabolic Disorders):
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia): พบได้บ่อยในทารกแรกเกิด โดยเฉพาะทารกตัวเล็กหรือทารกที่แม่เป็นเบาหวาน
ภาวะเกลือแร่ผิดปกติ: เช่น โซเดียมต่ำ (Hyponatremia), แคลเซียมต่ำ (Hypocalcemia), แมกนีเซียมต่ำ (Hypomagnesemia)
ภาวะผิดปกติแต่กำเนิดของเมตาบอลิซึม (Inborn Errors of Metabolism): เช่น ภาวะผิดปกติในการสร้างกรดอะมิโน
ความผิดปกติแต่กำเนิดของโครงสร้างสมอง (Congenital Brain Malformations): เช่น ภาวะสมองขาดการพัฒนา หรือมีรูปร่างผิดปกติ
โรคหลอดเลือดสมองในทารก (Neonatal Stroke): การอุดตันของหลอดเลือดในสมอง
ภาวะถอนยาจากมารดา (Drug Withdrawal): หากมารดาใช้ยาเสพติดบางชนิดขณะตั้งครรภ์
ความผิดปกติทางพันธุกรรม (Genetic Conditions): บางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับยีนที่ควบคุมการทำงานของสมอง
การวินิจฉัย
เนื่องจากอาการชักในทารกแรกเกิดอาจไม่ชัดเจน การวินิจฉัยจึงต้องอาศัยหลายวิธีร่วมกัน:
การตรวจร่างกายและประวัติทางการแพทย์: ซักถามประวัติการตั้งครรภ์ การคลอด และอาการของทารกอย่างละเอียด
การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography - EEG): เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุดในการยืนยันภาวะชัก โดยจะบันทึกกิจกรรมไฟฟ้าในสมอง เพื่อดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติที่บ่งชี้ถึงการชักหรือไม่ บางครั้งทารกอาจมีการชักทางไฟฟ้า (Electrographic seizures) โดยไม่มีอาการทางกายภาพที่ชัดเจน
การตรวจภาพทางสมอง:
อัลตราซาวด์สมอง (Cranial Ultrasound): ใช้ในการตรวจเบื้องต้น โดยเฉพาะในทารกคลอดก่อนกำหนด เพื่อดูการมีเลือดออกหรือความผิดปกติของโครงสร้าง
การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) สมอง: เป็นการตรวจที่ให้รายละเอียดสูงที่สุดในการดูความผิดปกติของสมอง เช่น การขาดออกซิเจน เลือดออก การติดเชื้อ หรือความผิดปกติของโครงสร้าง
การตรวจเลือดและน้ำไขสันหลัง:
การตรวจเลือด: เพื่อหาสาเหตุทางเมตาบอลิซึม เช่น ระดับน้ำตาล เกลือแร่ การติดเชื้อ
การเจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar Puncture / Spinal Tap): เพื่อตรวจหาการติดเชื้อในระบบประสาทส่วนกลาง
การรักษา
การรักษาภาวะชักในทารกแรกเกิดเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและเหมาะสม โดยมีเป้าหมายหลักคือการหยุดอาการชัก และการรักษาหาสาเหตุของอาการชักนั้นๆ
การควบคุมอาการชักเฉียบพลัน:
ยากันชัก (Antiseizure Medications - ASMs): ยาที่ใช้บ่อยเป็นอันดับแรกคือ ฟีโนบาร์บิทอล (Phenobarbital) ซึ่งมักให้ทางหลอดเลือดดำเพื่อการออกฤทธิ์ที่รวดเร็ว หากยังชักต่อเนื่อง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาอื่นเพิ่มเติม เช่น ฟีนิโทอิน (Phenytoin), เลเวทิราซีแทม (Levetiracetam) หรือมิดาโซแลม (Midazolam)
การรักษาประคับประคอง: ตรวจสอบและดูแลระบบการหายใจ การไหลเวียนโลหิต และควบคุมอุณหภูมิร่างกายของทารกให้คงที่
การรักษาสาเหตุจำเพาะ:
หากเกิดจาก น้ำตาลในเลือดต่ำ: ให้สารละลายน้ำตาลทางหลอดเลือดดำ
หากเกิดจาก การติดเชื้อ: ให้ยาปฏิชีวนะ หรือยาต้านไวรัส
หากเกิดจาก ความผิดปกติของเกลือแร่: ปรับสมดุลเกลือแร่
หากสงสัย ภาวะที่ขาดวิตามิน B6 (Pyridoxine-dependent epilepsy): อาจมีการให้วิตามิน B6 เพื่อทดลองการตอบสนอง
การเฝ้าระวังและการติดตามผล:
ทารกที่เคยชักจำเป็นต้องได้รับการติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด เนื่องจากภาวะชักอาจเป็นสัญญาณของปัญหาในสมองที่อาจส่งผลต่อพัฒนาการในระยะยาวได้
ในบางรายที่ชักบ่อย แพทย์อาจพิจารณาให้ยากันชักต่อเนื่อง และจะประเมินเป็นระยะเพื่อดูความจำเป็นในการใช้ยาต่อ
ผลลัพธ์และภาวะแทรกซ้อน
ผลลัพธ์ของทารกที่ชักขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดการชัก และความรุนแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสมอง:
บางรายอาจฟื้นตัวได้เต็มที่ และพัฒนาการเป็นปกติ
บางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนหลงเหลืออยู่ เช่น พัฒนาการล่าช้า โรคลมชักในระยะยาว ปัญหาการเรียนรู้ หรือความผิดปกติทางระบบประสาทอื่นๆ
ในกรณีที่รุนแรงมาก อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
การวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วและเหมาะสม มีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดความเสียหายของสมองและปรับปรุงผลลัพธ์ในระยะยาวสำหรับทารกแรกเกิดที่มีภาวะชัก
หากคุณสงสัยว่าทารกแรกเกิดมีอาการชัก ควรรีบนำทารกไปพบแพทย์ทันที เพื่อการประเมินและการรักษาที่เหมาะสมที่สุดค่ะ